เทศน์เช้า วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาใครเตือนเราแล้วสะเทือนใจนี่ มันจะทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลง.. เวลาฟังเทศน์ เห็นไหม สิ่งนี้เป็นสัจธรรม ! ถ้าเป็นสัจธรรมนะ มันสะเทือนหัวใจเราไหม ถ้ามันสะเทือนหัวใจเรานะ ดูสิเวลาสังคมทางโลกนี่ แม้แต่ฝูงสัตว์มันยังต้องมีผู้นำฝูง ถ้าหัวหน้าฝูงมันฉลาดนะ ฝูงสัตว์นั้นมันจะรอดปลอดภัย ถ้าหัวหน้าฝูงมันไม่ฉลาด ฝูงสัตว์นั้นอยู่ลำบากมาก
นี่ก็เหมือนกัน ผู้นำที่ดี เห็นไหม นี้คำว่าผู้นำที่ดี นี่เรามีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์นะ สร้างบุญญาธิการมามหาศาล เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน พระอานนท์นี่ร้องไห้นะ ดวงตาของโลกดับแล้ว.. ดวงตาของโลกดับแล้ว..
ความรู้สึกของพระโสดาบันนะ ! พระโสดาบันนี่เอาหัวใจของเราพ้นจากทุกข์ได้ส่วนหนึ่งแล้ว มีหลักมีเกณฑ์แล้ว เข้ากระแสแล้ว มีที่ไปแล้ว มีจุดยืนแล้ว ยังบอกว่า ดวงตาของโลกดับแล้ว ฉะนั้นผู้นำของเรานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นครูเอกของโลก
เราเป็นชาวพุทธใช่ไหม.. ถ้าเราพูดถึงชาวพุทธ เวลาเราพูดถึงศาสนาเรา เราก็ยกย่องครูบาอาจารย์ของเรา ยกย่องศาสดาของเรา ในลัทธิศาสนาอื่นๆ เขาก็ยกย่องศาสดาของเขา แล้วเขาดูถูกศาสดาของทั่วๆ ไป นี้พูดถึงคนที่ใจหยาบ..
แต่ใจที่เขาละเอียด ใจที่เขาเป็นธรรมเขาจะบอกว่า ผู้นำที่ดี เขาจะพาศาสนิกชนในศาสนานั้นไปสู่ความสุข ! พยายามทำให้เป็นความสุข แต่ความสุขได้มากน้อยขนาดไหนอยู่ที่ผู้นำที่ดีไง ถ้าผู้นำที่ดีทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
นี้พูดถึงศาสนสัมพันธ์ ! ความสัมพันธ์ของโลก.. เราอยู่กับโลกเขา เราต้องมีความสัมพันธ์ เราเอาความเป็นอยู่กัน เห็นไหม ความแตกต่าง.. ความเห็นแตกต่างที่เราอยู่ร่วมกันได้ นี่พูดถึงโลกนะ !
แต่ถ้าพูดถึงธรรมล่ะ.. ถ้าพูดถึงธรรมนี่เราจะเอาตัวเรารอดไหม ถ้าเราเอาตัวเรารอดมันต้องมีพาหะ มีสัจธรรมที่จะพาจิตใจเราไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ ! ถ้าเราไม่มีจิตใจที่พาเราไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ เห็นไหม เราเองเราก็เสียผลประโยชน์ของเรา
เรื่องของโลก.. เรื่องของสังคม.. เรื่องของหมู่สัตว์.. นั้นเป็นอันหนึ่ง แต่เรื่องความจริง สัจธรรมของเรานั้นเป็นอีกอันหนึ่งนะ ! ถ้าสัจธรรมของเราเป็นอีกอันหนึ่งนะ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะชี้นำ จะมีสิ่งใดๆ ต่างๆ จะพาเราไปสู่ที่สุดแห่งทุกข์ได้ !
เทวทัตนะ..หรือว่าพระกัสสปะนี่อายุเท่ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหมดนะ บวชมาพร้อมๆ กัน แล้วเป็นญาติกันโดยสายเลือดด้วย แต่เวลาความรู้สึก ความนึกคิดนะ เทวทัตนี่ได้สมาบัติด้วย จะแปลงกายเป็นอะไรต่างๆ ได้หมดเลย แต่ทำไมจิตใจของเขาคิดอย่างนั้นล่ะ
จิตใจของเขา เห็นไหม เวลาเขาบอกว่าในเมื่อนางวิสาขา.. นี่นางวิสาขาเป็นมหาอุบาสิกาผู้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลามาเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาไหว้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมีน้ำปานะ หรือมีสิ่งต่างๆ อะไรติดไม้ติดมือมาก็เอามาถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เอามาฝากพระอานนท์ ฝากองค์นั้นฝากองค์นี้ด้วยไง แล้วพระเทวทัต.. พระเทวทัตก็เป็นลูกผู้น้อง ก็ว่า ทำไมไม่คิดถึงเรา.. ไม่คิดถึงเรา
นี่จิตใจไง ! คนที่เขามาทำบุญกุศล ก็อยู่ที่จิตใจของเขา เขาจะเคารพบูชาใคร เขาจะเอามาฝากใคร แต่ตัวเองนี่ได้ก็ได้ แต่ด้วยความคิดมักมากไง ทำไมมองข้ามหัวเราไป.. ทำไมมองข้ามหัวเราไป เราจะต้อง ! เราจะต้องหาผู้อุปัฏฐาก หาผู้ที่เป็นสัทธิวิหาริก หาผู้ที่เป็นลูกศิษย์ลูกหา ก็มองไปที่อชาตศัตรู
พอมองไปที่อชาตศัตรู.. นี่มันน่าสงสารนะ อชาตศัตรูเป็นวัยรุ่น เป็นผู้ที่อ่อนต่อโลก แล้วคำว่าอ่อนต่อโลก เห็นไหม นี่เทวทัตไปครอบงำ เรามองสิ.. มองว่าไปครอบงำ แล้วบอกอชาตศัตรูให้แย่งราชสมบัติ อชาตศัตรูบอกว่า เป็นพ่อเป็นลูกกัน.. พ่อก็ให้ลูกอยู่แล้ว ทำไมต้องไปทำอย่างนั้น พ่อก็ต้องให้ลูกอยู่แล้วใช่ไหม พอถึงเวลาพ่อก็ให้เอง มรดกนี่พ่อก็ให้เอง
แล้วถ้าเกิดว่าเอ็งตายก่อนพ่อล่ะ ! นี่ยุเข้าไปนะ ถ้าเอ็งตายก่อนพ่อก็ไม่ได้ เห็นไหม สิ่งต่างๆ นี่ทำให้มีการกระทำ มีการปฏิวัติขึ้นมา นี่พูดถึงถ้าผู้นำที่ไม่ดี.. ถ้าผู้นำที่ไม่ดี เวลาทำอย่างนั้นไป แล้วพวกเรานี่ดูวัยรุ่นสิ ดูเด็กสิ เห็นไหม ประสบการณ์เขาไม่มี พูดสิ่งใดแล้วก็เชื่อของเขาไป ด้วยความเชื่อของเขา แต่ถ้าอำนาจวาสนาของเรานะ เราจะแบ่งแยก
กาลามสูตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ บอกว่าไม่ให้เชื่อ ! ไม่ให้เชื่อ ! ไม่ให้เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น ต้องพิสูจน์ตรวจสอบ.. พิสูจน์ตรวจสอบ.. แต่พวกเรานี้มันไม่พิสูจน์ตรวจสอบ เราเชื่อของเราไปก่อนเพราะสิ่งนี้เราคาดการณ์ไม่ได้ เราคาดหมายไม่ได้ไง ธรรมมันลึกซึ้ง สิ่งต่างๆ มันลึกซึ้ง ยิ่งไสยศาสตร์ เห็นไหม ระหว่างไสยศาสตร์กับพุทธศาสตร์แยกกันอย่างไร
เวลาไสยศาสตร์นะ มิจฉา.. เวลาทำความสงบของใจนี่เวลาเป็นมิจฉา นั่นเป็นไสยศาสตร์ ! ถ้าเป็นสัมมาล่ะ.. สัมมานะมันมีที่พึ่งของมัน มันมีหลักเกณฑ์ของมัน ดูสัมมาสิ ดูคนคิดบวกสิ คนคิดดีสิ คนคิดดีนะเวลาเราอยู่ในสังคมโลก เห็นไหม คนคิดอย่างนี้ได้อย่างไร เวลาความคิดของเขานี่ความคิดเบียดเบียนตัวเองนะ
เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ถ้าใครโกรธเรา ใครทำร้ายเราแล้วเราทำตอบ นี่เราโง่กว่าเขา เวลาคนโกรธเรา เวลาคนคิดร้ายกับเรา คนทำร้ายเรานี่เขาขาดสติ เขามีแต่ความโกรธมันก็ทำเรา ถ้าเรามีสติปัญญา เห็นไหม เหมือนเรานี่ดูกีฬาสิ เวลากีฬานี่ผู้ที่คุมเกมได้ก็จะเป็นผู้ที่ชนะ
นี่ก็เหมือนกัน เวลาเขาทำร้ายเรา ถ้าเราโกรธตอบนี่เราโง่กว่าเขา ถ้าจิตใจมันมีหลักมีเกณฑ์ มันจะมีจุดยืนของมัน มันจะเข้าใจสิ่งนี้ได้.. แต่ความรู้สึก ความอดทนของคนมันมีมากน้อยแค่ไหนล่ะ เห็นไหม เวลาเราโดนเสียดสี โดนแรงกระทบบ่อยๆ เข้า เราจะโกรธตอบไหม ถ้าเราโกรธตอบ นี่เพราะเราคุมเกมไม่ได้ เราโกรธตอบไป สาดน้ำเข้าใส่กัน มันก็กระทบทั้ง ๒ ฝ่ายนั่นล่ะ
ถ้าจิตใจมีหลักมีเกณฑ์ นี่กาลามสูตร... เราจะมีโอกาสตรวจสอบ มีความคิดของเรา มีการแก้ไขของเรา ถ้ามีการแก้ไขของเรา เห็นไหม เราจะมีจุดยืนของเรา จิตใจเราเข้มแข็งของเรา
อันนี้มันอยู่ที่เวรกรรมนะ ! เวรกรรม เห็นไหม เราเกิดร่วม ! เกิดร่วมกับคนที่ดี นี่เวลามงคล ๓๘ ประการ.. เกิดในประเทศอันสมควร ! เกิดมาในประเทศอันสมควร.. เกิดมาในสังคมที่ดี.. เกิดมาในหมู่คณะที่ดี.. เกิดมาในญาติโกโหติกา.. เกิดมาบ้านข้างเรือนเคียงเป็นคนดี เราเกิดมาบ้านข้างเรือนเคียงเป็นคนดีนี่เราหาได้ง่ายไหม สิ่งนี้เป็นบุญกุศลนะ ! เป็นบุญกุศลเราทำร่วมกันมา เป็นสายบุญสายกรรม เราทำร่วมกันมา เราทำสิ่งต่างๆ มา
ฉะนั้นพอเรามาประสบพบเห็นสิ่งที่เราอยู่ร่วมกันมา สิ่งนี้เราให้อภัยต่อกัน.. เราให้อภัยต่อกันเพราะเขาไม่รู้ตัวของเขา นี่แล้วเวลาเราเป็นผู้นำ เห็นไหม อย่างพ่อแม่พยายามจะสั่งสอน พยายามจะดัดแปลงนิสัยของลูกให้เป็นคนที่ดี แต่เด็กมันเชื่อไหมล่ะ
นี่อภิชาตบุตร.. ถ้าเด็กมันดีกว่า มันมีอำนาจวาสนากว่า มันสอนพ่อสอนแม่ได้นะ แต่ถ้าเด็กมันเป็นอย่างนั้นใช่ไหม เราก็ต้องแก้ไขของเรา เพราะมันเป็นชาติตระกูลของเรา เราต้องแก้ไขของเรา พยายามสุดความสามารถของเรา แต่ ! แต่ในเมื่อถึงที่สุดแล้วกรรมมันให้ผลอย่างนั้นล่ะ
มันเป็นธาตุไง ! มันเป็นไปโดยธาตุ เป็นไปโดยความรู้สึก เป็นไปโดยเจตนา เป็นไปโดยความรู้สึก.. สิ่งนี้แก้ไขได้นะ ! คำว่าแก้ไขได้หมายความว่า เวลาเราเกิดมาเรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่เราสิ้นกิเลสได้ เราจัดการของเราได้
แต่เวลาคนที่กรรมมันหนัก กรรมต่างๆ นี้มันก็เป็นสภาวะ.. บัว ๔ เหล่า บัว ๔ เหล่า เห็นไหม บัวใต้น้ำ บัวปริ่มน้ำ บัวพ้นน้ำ.. นี่บัว ๔ เหล่า อย่างไรมันก็เป็นอาหารของสัตว์ อาหารของเต่า
สิ่งต่างๆ นี้ ความรู้สึก ความนึกคิดต่างๆ ก็เป็นทาสของกิเลสนะ อาหารของใคร.. อาหารของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก.. กิเลสในหัวใจนี่มันทำลายจิตใจดวงนั้น ! ทำสิ่งใดก็แล้วแต่ ผลบุญผลกรรมมันตกกับใจดวงนั้น
ใจดวงนั้น เห็นไหม ใจเป็นภวาสวะ เป็นภพ เป็นที่อยู่ของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันพาให้ทำ พอทำแล้วกิเลสมันก็ไปแล้ว ผลก็ตกอยู่กับหัวใจดวงนั้นไง เวรกรรมมันซับอยู่ที่ใจดวงนั้น เห็นไหม ใจดวงนั้นมันซับแล้วซับเล่า นี่มันถึงปิดหูปิดตา
มันปิดหูปิดตาว่าเวลาคิดนี่ เราคิดว่าเราเป็นคนที่คิดดี เราทำสิ่งที่ดี เราทำสิ่งใดแล้วไม่มีใครจะรู้ทันกับเราได้ เพราะมันเป็นความรู้สึก เป็นความนึกคิด แต่เรื่องของใจนะ.. อย่างเช่นกระดาษนี่ใครเขียนอักษรลงไป เขียนหนังสือลงไป มันก็จะเห็นเป็นตัวอักษรใช่ไหม
เวลาความคิด... นี่จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ! มันคิดเศร้าหมอง คิดย้ำจนกระดาษของเราเป็นกระดาษที่มันสกปรกไปหมดเลย แต่เขียนลงไปอย่างไรมันก็เห็นนะ
ความคิดเกิดจากจิต เห็นไหม คนที่รู้วาระจิตเขารู้ได้อย่างนี้ ! เขารู้ได้ ความคิดเรานี่เขารู้ได้.. แต่เราคิดว่าไม่มีใครรู้ความคิดเรา คิดว่ามันเป็นความลับไง ถ้ามันเป็นความลับ มันไม่มีใครสามารถรู้ได้นะ คนจะชำระจะทำให้มันสะอาดได้อย่างไร
ในหัวใจเรานี่ เราชำระกิเลสได้อย่างไร.. มันทำได้ ! มันทำของมันได้ ! ถ้ามันทำของมันได้ มันถึงชำระให้จิตนี้สะอาดได้ พอจิตนี้สะอาดนะ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ผ่องใสคือมันสะอาดบริสุทธิ์ใช่ไหม สะอาดบริสุทธิ์แต่มันยังมีใช่ไหม กระดาษยังมีใช่ไหม ถึงที่สุดแล้วนี่มันจะย้อนกลับมาทำลายกระดาษแผ่นนั้น ก็ต้องทำลาย
ภวาสวะ.. ตัวภพ.. ตัวจิตต้องทำลายหมด ถ้ามันทำลายหมดแล้วมันถึงจะพ้นจากกิเลสได้ คือไม่มีสิ่งใดรองรับไง ถ้ายังมีกระดาษอยู่ ยังมีภพอยู่ ยังมีสถานที่อยู่ นี่มารมันตามได้ มารมันหัวเราะเยาะเลย เหมือนไก่ป่า เห็นไหม เวลามันหลบคน มันเอาหัวซุกเข้าไปในใบไม้ มันคิดว่าใครไม่เห็นมันนะ ตัวมันทั้งตัวอยู่นั่นล่ะมันซุกเข้าไปเลย
นี้คือความคิดเราไง เราคิดว่าไม่มีใครรู้ได้ ไม่มีใครเข้าใจหัวใจเราได้... ไม่มีหรอก ! ความลับไม่มีในโลก ความลับไม่มี เพียงแต่ว่าผู้ที่รู้จริงมีหรือเปล่า ถ้าผู้รู้จริงมีสิ่งนี้นะ เห็นไหม อนาคตังสญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญหนหนึ่ง
เราเกิดมานี่ในกึ่งพุทธกาล.. นี่ ๒,๕๐๐ เห็นไหม ก่อนกึ่งพุทธกาล หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านรื้อค้นของท่านมา แล้ว ๒,๕๐๐ มานี่ปลายกึ่งพุทธกาลแล้ว แล้วถ้าเราเกิดมาในสังคมนี่ เรามองว่าสังคมมันทุกข์มันยาก สังคมที่อื่นเขาจะมีความขัดแย้งตลอดไป สังคมของเราก็มีความขัดแย้ง แต่ ! แต่โดยพื้นฐานของพุทธศาสนา.. พุทธศาสนาสอนให้อภัย
อริยวินัย ! ผู้ใดทำความผิดพลาดแล้วรู้สำนึกตัวได้ ให้ปลงอาบัติ ! ปลงอาบัติ ! พระต้องปลงอาบัติ นี่อริยวินัย !
ปุถุชน.. อริยชน.. ผู้ที่เขายังให้อภัยกัน นั่นเป็นเรื่องของโลก เห็นไหม แต่เรื่องของธรรมนี่ให้อภัย ! ให้อภัย ! สิ่งที่ให้อภัย.. แล้วเวลาเราผิดพลาดไป เราจะให้อภัยตัวเราไหม สิ่งใดเวลาเราทำผิดพลาดแล้วนี่ ผิดแล้วก็ทำซ้ำทำซากให้มันผิดมากเข้าไปอีก ทำไมเราไม่รู้จักให้อภัยตัวเราเองล่ะ
ถ้าสิ่งนั้นมันเป็นความผิด เราก็ต้องแยกแยะว่าสิ่งนั้นไม่ควรทำ ให้ทำแต่สิ่งที่ดี ถ้าทำแต่สิ่งที่ดี ทำสิ่งที่ดีมันทุกข์ไง.. ทำตามความพอใจแล้วมันสุข มันมีความพอใจ
ความพอใจอย่างนั้นมันสร้างเวรสร้างกรรม ! จริงๆ แล้วเราก็เศร้าหมอง เวลาเราระรานใคร เราทำใครก็แล้วแต่ แล้วพอเราชนะคะคานเขาแล้วนี่ พอมันถึงที่สุดแล้วเราดีใจไหม จริงๆ แล้วพอคิดแล้วเราเสียใจไหม.. มันเสียใจทั้งนั้นแหละ !
แต่ถ้าเราทำคุณงามความดี.. เห็นไหม ดูสิธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมนะ ท่านเผยแผ่ธรรมไม่ต้องหวังผลประโยชน์ตอบแทนกับใครเลย ! ไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทนกับใครเลย เพราะ ! เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ อิ่มเต็มในหัวใจ จิตใจมีวิมุตติสุข ไม่มีอะไรจะเติมใจดวงนั้นให้ได้อีกแล้ว ท่านก็พยายามขวนขวายทำ ทำโดยหวังผลอะไร.. ท่านหวังผลอะไร !
นี่ก็เหมือนกัน เราทำคุณงามความดีนี่ เราทำคุณงามความดีแบบทิ้งเหวไง เราไม่หวังผลตอบแทนสิ่งใดจากการทำคุณงามความดีเลย.. ความดีคือความดี ! ทำความดีแล้วก็จบสิ้นที่ความดี ความดีนั้นสะอาดบริสุทธิ์ เห็นไหม
แต่ถ้าเราทำแล้วหวังผลนี่ก็ว่า ทำบุญแล้วก็ไม่ได้บุญ.. ทำบุญแล้วก็ทุกข์ก็ยาก นี่ทำดีแล้วหวังถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑ เขาบอกเลยว่าค้ากำไรเกินควร แต่ความจริงไม่ใช่นะ.. แม้แต่ข้าวทัพพีเดียวนะ ถึงที่สุดแล้วนะถึงสิ้นกิเลสได้ เพราะข้าวทัพพีเดียวนี่ เวลาเราจะใส่บาตร เราอธิษฐานใช่ไหม เราคิดใช่ไหม มันสำคัญตรงนี้ ! สำคัญตรงที่จิตมันได้คิด ได้สติ ได้มีความสำนึก ได้ต่างๆ มันกลับตัวกลับใจเป็นคนดีได้ไง
ตรงนี้สำคัญ ! สำคัญที่ว่า ถ้าเราสำนึก เรามีความรู้สึก เรามีความนึกคิด เห็นไหม เราจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเรา เราจะเปลี่ยนความเป็นอยู่ของเรา เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่เราพยายามทำของเรา... ทำบุญทิ้งเหว ! นี่ทำความดีเพื่อความดี ความดีมันจะให้ผลกับเราขึ้นมา ความดีคือเรารู้เอง
เราจะทำบุญกุศลของเราใช่ไหม เราอธิษฐานของเรา เราตั้งใจของเรา อธิษฐานคือเป้าหมาย ทำธุรกิจเขาต้องมีเป้าหมาย ทุกอย่างเขาต้องมีเป้าหมาย ชีวิตเราไม่มีเป้าหมายเป็นไปได้อย่างไร.. แต่นี้เขาบอกว่าไม่ได้ มันค้ากำไรเกินควร เห็นไหม กิเลสเวลาจะทำความดีนี่มันตัดทอนทั้งนั้นเลย.. มันตัดทอน
ได้ ! อธิษฐานได้ ! ตั้งเป้าหมายได้ ! แล้วพยายามทำได้ ! แล้วพยายามทำคุณงามความดีของเรา... ทำได้ ! ถ้าทำไม่ได้ ไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีครูบาอาจารย์ของเรา มีครูบาอาจารย์ของเรา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพยายามสร้างบุญกุศลขึ้นมา ถึงเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เรากราบไหว้กันอยู่นี่ ! มันไม่ได้ได้อย่างไร.. ได้ !
ฉะนั้นพอเราได้ขึ้นมานี่เราเข้มแข็งของเรา เราทำของเรา.. โลกนะเขาจะบั่นทอน เขาจะทำแรงเสียดสี เห็นไหม นินทากาเล นู้นก็ไม่ได้.. นู้นก็ไม่ดี.. ทำดีแล้วมันไม่เห็นได้ดีซักอย่างเลย.. แต่ถ้าทำตามเขา เป็นเหยื่อเขา นั้นเป็นความดี เห็นไหม
ฉะนั้นสิ่งใดที่มันเป็นโลกธรรม สิ่งใดที่มันเป็นแรงติฉินนินทา เป็นเรื่องของเขา เรามีจุดยืนของเรา เราทำความดีของเรา คนทำความดีในสังคมเขาว่าโง่นะ ไม่รู้จักเอาเปรียบเขา... โง่ !
ฉลาดกับกิเลสของเรา ฉลาดกับความมุมานะ ทิฐิมานะของเรา เราฉลาดที่นี่ จะโง่กับสังคมอันนั้นให้เขาว่าไป แต่ถ้าเราจะฉลาดอย่างนั้น ฉลาดไปลุยน้ำลุยไฟกับเขา เราไม่ไปฉลาดกับเขาหรอก ปล่อยเขา เขาฉลาดให้เขาฉลาดไป เอาตัวเรารอดได้
ถ้ามีจุดยืนอย่างนี้ เห็นไหม เราจะอยู่ของเราได้ แต่เพราะเราไม่มีจุดยืนไง ตามกระแสหมดเลย เขาว่าดีก็ไปกับเขา เขาว่าชั่วก็ชั่วตามเขา แต่ดีหรือชั่วนี่ยังไม่รู้ว่าจริงเลย แต่ถ้าเราทำของเรานะ ดีหรือชั่วเรารู้ของเรา เรามีครูบาอาจารย์ตรวจสอบได้ ศีลไง.. ดีในศีล ๕ ศีล ๑๐ ศีล ๘ ศีล ๒๒๗ เรามีศีลธรรมนี้เป็นเครื่องตรวจวัด อันนี้เป็นธรรมนะ !
นี่มาทำบุญกุศล แล้วฟังธรรม ! ฟังธรรมคือเตือนสติเรา ฟังธรรมคือให้สติเรานี้ให้มันสำนึก ให้มันสำนึกว่าคุณงามความดีของเราอยู่ในหัวอกของเรานี่ ! เราสุขทุกข์อยู่ในหัวใจของเรานี่ !
เราทำความดีเพื่อเรา เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม นั่งสมาธิ ภาวนาก็เพื่อท่าน ! เดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา นี่ทุกข์ยากขนาดไหนก็เพื่อความดีของเรา เพื่อให้จิตสงบ เพื่อให้มีปัญญา เพื่อพ้นจากทุกข์ ! เอวัง